5 โรคฮิตจากโซเชียลมีเดีย
ในปัจจุบัน
การติดต่อสื่อสารผ่าน เฟซบุ๊ค ไลน์ วอทแอพ และวีแชต ฯลฯ ผ่านสมาร์ทโฟน แทปเล็ต
และโน้ตบุ้คได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ โดย
เฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและคนทำงาน นอกจากความทันสมัย ฉับไว ด้านข้อมูลข่าวสาร
ยังมีภัยสำหรับคนคลั่งแชทที่อาจเกิดกับคุณอยู่ตอนนี้ก็ได้ ไปดูว่ามีโรคอะไรกันบ้าง
1) โรคเศร้าจากเฟซบุ๊ค
การเล่นเฟซบุ๊คมีทั้งด้านบวกและด้านลบ การศึกษาของมหาวิทยาลัยมิชิแกน
นำโดยศาสตราจารย์ อีธาน ครอสส์ ได้รวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 82 คน ซึ่งใช้บริการเฟซบุ๊คบนสมาร์ทโฟนเป็นประจำ พบว่า การใช้เฟซบุ๊คมากเกินไปอาจกลายเป็นการบั่นทอนความสุขและความพึงพอใจในการดำรงชีวิต
เช่นโดดเดี่ยว เศร้า และเหงาหงอยมากขึ้น ทั้งนี้
ผู้คนส่วนใหญ่ใช้เฟซบุ๊คเป็นเครื่องระบายความรู้สึกมากขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกว้าเหว่ สอดคล้องกับงานวิจัยจากเยอรมนี เมื่อต้นปีที่
พบว่า 1 ใน 3 ของกลุ่มตัวอย่างที่ใช้
มีทัศนคติต่อตัวเองในแง่ลบ เนื่องจากเห็นการอัพเดตสถานะของเพื่อน
ทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ที่มีแต่ความสำเร็จและความสุข
2) ละเมอแชท (Sleep
- Texting) ถือเป็นโรคใหม่ที่เกิดจากการใช้สมาร์ทโฟนอีกเช่นกัน
และโรคนี้ถือว่าไม่ธรรมดา เพราะสามารถตามไปหลอกหลอนแม้กระทั่งตอนที่คุณเข้านอนแล้ว
เราสามารถเรียกโรคนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อาการติดแชทแม้ขณะนั้นตัวเองกำลังหลับอยู่ การศึกษาในต่างประเทศพบว่า Sleep - Texting เป็นอาการชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการพิมพ์ข้อความแชทในมือถือของผู้ที่เข้า
ขั้น "ติด" อาการนี้จะเกิดขึ้นในขณะหลับ
และเมื่อได้ยินเสียงข้อความส่งมา
ร่างกายและระบบประสาทจะตอบสนองด้วยการหยิบมือถือมาแล้วพิมพ์ข้อความตอบกลับ
ไปในทันที ซึ่งผู้ใช้จะอยู่ในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น
เป็นเหตุให้เมื่อตื่นขึ้นมาจะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรหรือพิมพ์อะไรไปบ้าง
และข้อความนั้นก็เป็นข้อความที่ไม่สามารถจับใจความได้ ปัญหาที่ตามมาก็คือ
ร่างกายที่อ่อนแอจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดโรคอ้วน ภาวะซึมเศร้า
และอาจส่งผลกระทบในการเรียนหรือการทำงานด้วย ด้วยเหตุนี้
หากจะเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค ก็ควรทำแต่พอดี แต่หากคุณติดงอมแงมก็ควรตัดใจปิดมือถือ
ปิดเสียง หรือปิดสัญญาณ WiFi และ 3G ก่อนนอนเพื่อการพักผ่อนที่เต็มที่
3) โรควุ้นในตาเสื่อม สำหรับ บางคนอาจจะต้องอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ทุกวัน วันละหลายๆ ชั่วโมง
และบางคนก็จ้องแทปเล็ต สมาร์ทโฟนไม่วางตาจากการทำงาน เล่นอินเตอร์เน็ต แชท
หรือเล่นเกมส์ อาจทำให้เกิดโรควุ้นในตาเสื่อมได้ ทั้งนี้
จากการสำรวจในประเทศไทยพบว่ามีผู้ที่เป็นโรคนี้แล้วกว่า 14 ล้านคน โรคนี้เกิดขึ้นจากการใช้สายตาที่มากจนเกินไป
โดยปกติแล้วในสมัยก่อนโรคนี้ส่วนมากจะพบในผู้สูงอายุ แต่ในปัจจุปัน
มีผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้มากขึ้น และไม่จำกัดช่วงอายุวัย อาการสำคัญ
คือเวลามองจะเห็นภาพเป็นคราบดำๆ คล้ายหยากใย่
ซึ่งการตรวจสอบจะมองเห็นได้ชัดเจนในที่ๆ เป็นพื้นที่สีสว่างๆ เช่น ท้องฟ้าขาวๆ
ผนังห้องขาวๆ ซึ่งหากมีอาการเหล่านี้ จะทำให้เกิดอาการปวดตา
และมีปัญหาด้านสายตาในที่สุด
4) โนโมโฟเบีย (Nomophobia) เป็น โรคหวาดกลัวการไม่มีมือถือใช้ติดต่อสื่อสาร
รวมถึงความเครียดเมื่อมือถืออยู่ในจุดอับสัญญาณจนติดต่อใครไม่ได้
Nomophobia มาจากคำว่า "no-mobile-phone phobia" ซึ่งจัดเป็นโรคกลัวทางจิตเวช เพราะมีอาการวิตกกังวลหรือกลัวเกินกว่าปกติ อาการ โดยทั่วไปที่สามารถเช็คได้ ง่ายๆ
ว่าคุณเข้าขั้นเป็นโรคนี้หรือเปล่าก็คือ เกิดอาการเครียด วิตกกังวล ตัวสั่น
หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้ เมื่อไม่มีโทรศัพท์ อยู่ในจุดอับสัญญาณ หรือแบตเตอรีหมด
นอกจากนี้ ยังแสดงอาการด้วยการหยิบสมาร์ทโฟน หรือแทปเลต ขึ้นมาเช็กอยู่ตลอดเวลา ติดการส่งข้อความและการโพสต์ข้อความผ่านสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ
ว่างไม่ได้ สเตตัส เช็กอิน โพสต์รูป ฯลฯ ต้องมีให้เห็น
ที่สำคัญไม่เคยปิดมือถือเพราะกลัวพลาดการอัพเดทเรื่องราวต่างๆ ในปัจจุบัน จากการสำรวจของทั่วโลกพบว่า มีคนเป็นโรคนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะผู้หญิงจะเป็นมากกว่าผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน
จะเป็นมากกว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ในคนไทยประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มเยาวชนจะติดมือถือ
และชอบเล่นไลน์ หรือเฟซบุ๊ค และถ้าหากเป็นมากก็คงต้องปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา
ไม่เช่นนั้นโรคอื่นๆ จะตามมา
5) สมาร์ทโฟนเฟซ (Smartphone
face) หรือ โรคใบหน้าสมาร์ทโฟน
เป็นโรคที่เกิดจากการก้มลงมองและจ้องไปที่สมาร์ทโฟน หรือแทปเลตมากจนเกินไป
เหตุนี้เองจึงทำให้เกิดการยืดของเส้นใยอิลาสติกบนใบหน้าทำให้แก้มบริเวณกราม
เกิดการย้อยลงมา ส่วนกล้ามเนื้อบริเวณมุมปากจะตกไปทางคาง ที่ เป็นเช่นนี้ ก็เพราะการนั่งก้มหน้ามองสมาร์ทโฟนหรือแทปเล็ตเป็นเวลานาน
จะทำให้เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอและเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม
จึงทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมา และจะเห็นชัดเจนเมื่อถ่ายภาพด้วยตัวเอง
ใครสงสัยโปรดใช้กล้องหน้าถ่ายรูปตัวเองด่วน นอกจากการป้องกันโดยไม่ก้มหน้าเป็นเวลานานๆ
แล้ว เรายังมีวิธีแก้ไข แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
เพราะมีรายงานว่าสามารถแก้ไขได้ด้วยการศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า โบท็อกซ์
กระชับด้วยคลื่นความถี่สูง รวมทั้งร้อยไหม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น